ครบรอบหนึ่งทศวรรษแล้วสำหรับ “Hormones วัยว้าวุ่น” ซีรีส์ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนให้สังคมไทยด้วยการนำเสนอชีวิตวัยรุ่นอย่างตรงไปตรงมา เปิดเปลือยทุกแง่มุมทั้งความรัก เซ็กซ์ ความสับสน และการค้นหาตัวตน จนกลายเป็นปรากฏการณ์ที่ทุกคนต้องพูดถึง บทสัมภาษณ์ล่าสุดของ ปิง-เกรียงไกร วชิรธรรมพร หนึ่งในทีมเขียนบทคนสำคัญและผู้กำกับซีซัน 2-3 ได้เผยเบื้องหลังความสำเร็จที่เริ่มต้นจากความกล้าที่จะ “เรียล” และประโยคไวรัลที่ยังคงติดหูอย่าง “อารมณ์ฉันก็มี แต่ถ้าไม่มีถุงยาง ก็อดโว้ย!”
ปรากฏการณ์ “Hormones วัยว้าวุ่น” เริ่มต้นขึ้นเมื่อ ย้ง-ทรงยศ สุขมากอนันต์ ผู้กำกับมากฝีมือ ได้รับโจทย์ให้สร้างสรรค์ซีรีส์สำหรับช่อง GMM ONE โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาศิลปินในสังกัดนาดาว บางกอก ย้งมองเห็นโอกาสในการนำเสนอ “ชีวิตวัยรุ่น” ในมุมที่ลึกและจริงกว่าที่เคยมีมา โดยได้รับแรงบันดาลใจจากซีรีส์วัยรุ่นอังกฤษเรื่อง “Skins” ในการเล่าเรื่องผ่านตัวละครหลากหลายในโรงเรียนเดียวกัน

กำเนิดจากความ “เรียล” และการค้นคว้าอย่างหนัก
ปิง-เกรียงไกร เล่าว่าจุดเริ่มต้นคือการรวมทีมเขียนบทที่ประกอบด้วยคนรุ่นใหม่จากคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ ซึ่งแต่ละคนมีมุมมองและประสบการณ์ที่แตกต่างกัน หัวใจสำคัญของการสร้างสรรค์บทคือการ “เข้าใจความเป็นมนุษย์” และการค้นคว้าข้อมูลอย่างเข้มข้น ทีมงานใช้เวลานานนับปีในการสัมภาษณ์นักแสดงวัยรุ่นที่มารับบทต่างๆ คนละ 3-6 ชั่วโมง เพื่อดึงอินไซต์และประสบการณ์จริงของพวกเขาออกมา
“ตอนนั้นพวกเราอายุ 27-28 มันผ่านวัยรุ่นมาหลายปีแล้ว… แต่สำหรับเด็กพวกนี้มันบริสุทธิ์มาก บาดแผลยังสดอยู่” ปิงกล่าว ข้อมูลที่ได้มานั้นสดใหม่และแตกต่างจากสิ่งที่ผู้ใหญ่รับรู้ เช่น เรื่องราวของ ต่อ-ธนภพ ที่เคยเกเรและมีเรื่องชกต่อย ก่อนจะเปลี่ยนแปลงตัวเองหลังบวช กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ตัวละคร “ไผ่” หรือประเด็น “ฟรีเซ็กซ์” ที่นำไปสู่การสร้างตัวละคร “สไปรท์” (รับบทโดย เก้า-สุภัสสรา) สาวมั่นที่ไม่มองว่าเซ็กซ์เป็นเรื่องเสียหาย
การสร้างตัวละครทั้ง 9 ตัวหลัก อาทิ วิน (พีช-พชร), ของขวัญ (แพทตี้-อังศุมาลิน), หมอก (ไมเคิล-ศิรชัช), ต้า (กันต์ ชุณหวัตร), เต้ย (ปันปัน-สุทัตตา), ภู (มาร์ช-จุฑาวุฒิ), ดาว (ฝน-ศนันธฉัตร), ไผ่ (ต่อ-ธนภพ) และ สไปรท์ (เก้า-สุภัสสรา) ล้วนผ่านการกลั่นกรองและพัฒนาจากข้อมูลจริง ผสมผสานกับประเด็นทางสังคมที่ทีมงานสนใจ
ความท้าทายในการนำเสนอและการสั่นสะเทือนสังคม
เมื่อ “Hormones วัยว้าวุ่น” ออกอากาศครั้งแรกในปี 2556 ทางช่อง GMM ONE และต่อมาทาง YouTube ก็สร้างกระแสฟีเวอร์ไปทั่วประเทศ ยอดผู้ชมแต่ละตอนทะลุ 10 ล้านครั้ง เกิดการถกเถียงในวงกว้างทั้งในกลุ่มวัยรุ่น ผู้ปกครอง ครูอาจารย์ และนักวิชาการ ซีรีส์เรื่องนี้กล้าที่จะนำเสนอฉากที่ถูกมองว่า “แรง” เช่น ฉากตรวจการตั้งครรภ์ของดาวที่เห็นผ้าอนามัยเปื้อนเลือด ซึ่งย้ง-ทรงยศ ผู้กำกับซีซันแรก ยืนยันว่าจำเป็นเพื่อสื่อสารอารมณ์และความโล่งใจของตัวละคร

ความสำเร็จนี้ทำให้เกิดซีซัน 2 ซึ่งปิง-เกรียงไกร ก้าวขึ้นมารับหน้าที่ผู้กำกับเต็มตัว พร้อมกับความท้าทายในการพัฒนาตัวละครเดิมและแนะนำตัวละครใหม่จากโครงการ “Hormones The Next Gen” เช่น ออย (ฟรัง-นรีกุล), ขนมปัง (แพรวา-ณิชาภัทร), นน (แบงค์-ธิติ) ซีซันนี้ยังคงความเข้มข้นในการนำเสนอประเด็นสังคม
สำหรับซีซัน 3 “The Final Season” ปิงและทีมงานตั้งใจปิดฉากอย่างสมบูรณ์ โดยหยิบประเด็นที่ยังไม่เคยเล่าอย่างการเลือกตั้งประธานนักเรียน กีฬาสี และที่สำคัญคือการสร้างตัวละคร “พละ” (สกาย-วงศ์รวี) ผู้ติดเชื้อ HIV ตั้งแต่กำเนิด ซึ่งสร้างความตระหนักรู้ให้สังคมอย่างมาก GTH ถึงกับทำคลิป “พละ ผมมีเชื้อ HIV ครับ” เพื่อส่งเสริมความเข้าใจและการอยู่ร่วมกัน
10 ปีผ่านไป: มรดกที่ยังคงอยู่
ปิง-เกรียงไกร มองว่าแม้เวลาจะผ่านไป 10 ปี และสังคมเปิดกว้างขึ้นจนเนื้อหาบางอย่างของ “Hormones” อาจดู “หน่อมแน้ม” ไปบ้าง แต่ซีรีส์เรื่องนี้ได้ทำหน้าที่เป็น “เพื่อน” ให้กับวัยรุ่นจำนวนมาก ทำให้พวกเขากล้าที่จะเป็นตัวเอง และช่วยให้ผู้ใหญ่เข้าใจธรรมชาติของวัยรุ่นมากขึ้น
“Hormones วัยว้าวุ่น” ไม่เพียงแต่เป็นปรากฏการณ์ทางสังคมและเป็น Soft Power ที่ขายลิขสิทธิ์ไปหลายประเทศ แต่ยังสะท้อนถึงพลังของคนทำงานเบื้องหลังที่ทุ่มเทสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพ ปิงย้ำว่าความสำเร็จเกิดจาก “ถูกเวลาและถูกทีม” แม้ในวันนั้นค่าตอบแทนอาจไม่สูงนัก แต่ทุกคนทำด้วยใจ และความผูกพันระหว่างทีมงานกับนักแสดงยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้
เรื่องราวเบื้องหลังของ “Hormones วัยว้าวุ่น” จึงเป็นมากกว่าความสำเร็จของซีรีส์เรื่องหนึ่ง แต่เป็นบทบันทึกสำคัญของวงการบันเทิงไทยที่กล้าจะนำเสนอความจริงของวัยรุ่น และจุดประกายให้สังคมหันมาใส่ใจและเข้าใจ “วัยว้าวุ่น” อย่างแท้จริง.